"PRINCIPAL APDI" & "PRINCIPAL CHEQ"..."Story of Growth" ประตูสู่การลงทุนในหุ้น Asia Pacific & China โดย สรวิศ อิ่มบำรุง, Wealthy Thai (Thai version only)

PRINCIPAL APDI PRINCIPAL CHEQ ลงทุนในหุ้น Asia Pacific & China

โอกาสลงทุน ‘ระยะยาว’...ในภูมิภาคที่มีการ ‘เติบโตสูง’ ของโลก!!!

ราตรีที่ยาวนานที่สุดย่อมมีวันสิ้นสุด เช่นเดียวกับ ‘วิกฤติ COVID-19’ ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน จากเศรษฐกิจที่หดตัวในปีนี้จะกลับมาขยายตัวได้ในปีหน้า
 
โดยภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดยังเป็น ‘เอเชีย’ ที่จะกลับมาขยายตัว 7.6% ในปี 2021 จากที่เติบโต 0%ในปี 2020 และ ‘จีน’ ยังคงเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงประเทศหนึ่งของโลก แม้จะเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสในปีนี้ยังคงขยายตัวได้ 1.2% ก่อนที่จะกลับมาเติบโตได้ 9.2% ในปี 2021  (ที่มา: IMF, - Data as of 21 Apr 2020)

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ‘เอเชีย’ และ ‘จีน’ เป็นหนึ่งในเป้าหมายบนแผนที่การลงทุนของโลกหลังวิกฤติในครั้งนี้เช่นเดียวกัน

ในทุก ‘วิกฤติ’ ย่อมมี ‘โอกาส’ อยู่เสมอ ทาง “บลจ.พรินซิเพิล” ได้คัดเลือก ‘2 กองทุนเด่น’ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิก ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL APDI)” และ “กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ (PRINCIPAL CHEQ)” มาเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนในครั้งนี้

“Asia & China”…ภูมิภาคที่ฟื้นตัวได้เร็วจาก ‘วิกฤติ COVID-19’

เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจจากวิกฤตในครั้งนี้ รัฐบาลทั่วโลกได้มีการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือทั้งภาคการเงินและการคลัง ทั้งการจ่ายเงินชดเชย การลดดอกเบี้ยนโยบาย ภาคธุรกิจ และสินเชื่อส่วนบุคคล การประกาศลดอัตราเงินสำรองของธนาคาร การอัดฉีดเงินจากธนาคารกลางเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ ดังที่จะเห็นได้ใน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทยเอง 

“จึงทำให้ ‘สภาพคล่อง’ ในระบบการเงินโลกยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคงต้องมองหาแหล่งลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในภาวะดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้กันต่อไป”

apdi

แม้ภาพรวมตัวเลขของผู้ติดเชื้อ ‘ไวรัส COVID-19’ ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะทะลุ 4 ล้านราย แล้วก็ตาม แต่ก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘ยุโรป’ เป็นหลัก ในขณะที่ภูมิภาค ‘เอเชีย’ สถานการณ์กลับตรงกันข้ามมีพัฒนาการในเชิงบวกและคาดว่าจะเป็นภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวก่อนภูมิภาคอื่นด้วยเช่นกัน

“ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมามาก แต่หลังจากที่สถานการณ์ในหลายภูมิภาคเริ่มควบคุมได้และมีความหวังต่อวัคซีนป้องกันที่จะเกิดขึ้นตามมา ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีการ Rebound กลับขึ้นมาในช่วงเดือน เม.ย. 2020 ที่ผ่านมา มากน้อยแตกต่างกันไป โดยตลาดหุ้น ‘เอเชีย’ และ ‘จีน’ ยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเม็ดเงินลงทุนทั่วโลก ด้วยเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงของโลกนั่นเอง”

“Asia Pacific’…ภูมิภาคที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงหลัง ‘COVID-19’

ภูมิภาคที่ยังคงเป็น ‘การเติบโตของโลก’ ในยุคหลัง ‘วิกฤติ COVID-19’ นั้นยังคงเป็น ‘เอเชีย’ เช่นเดียวกับยุคก่อนหน้า จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกเสมอมา ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2020 ‘ตลาดหุ้นเอเชีย-ไม่รวมญี่ปุ่น’ ติดลบ 11.07% แต่ถ้ามองกันย้อนหลัง 10 ปี ยังคงให้ผลตอบแทน 4.45% ต่อปี (ที่มา: MSCI, Data as of 30 Apr 2020)

สำหรับ“กองทุนเปิดพรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิก ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL APDI)” นั้น เป็นกองทุน Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนใน ‘กองทุน Principal Asia Pacific Dynamic Income Fund’ บริหารโดยทีมงานของ Principal จาก 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งเป็นทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
 
เน้นกระจายการลงทุนในหุ้น ‘Asia Pacific’ ด้วยกลยุทธ์ ‘Barbell Portfolio’ ด้วยการถือหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stocks) หรือ REIT ที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยยังคงเน้นการเลือกหุ้นรายตัวแบบ ‘High Conviction’ ที่ไม่ยึดเกาะกับดัชนีอ้างอิงแต่ประการใด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของกองทุนนี้ที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้น

test

“ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนทีมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ด้านการลงทุนในหุ้น ‘Asia Pacific’ เน้นทำ ‘Company Visit’ ทำบทวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เพื่อเลือกลงทุนแบบ Bottom-up คัดสรรหุ้นที่ดีมีศักยภาพใน Universe มาลงทุนประมาณ 40 – 50 ตัว เท่านั้น ซึ่งจะเป็นจุดที่สามารถสร้าง ‘Alpha’ ให้กับกองทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนผ่านผลงานของกองทุนหลักที่ได้รับการจัดอันดับ ‘5 ดาว’ จาก Morningstar ได้เป็นอย่างดี”

ในช่วงเดือน ก.พ. 2020 ที่ผ่านมา กองทุนลดสัดส่วนบริษัทที่พึ่งพิงรายได้จากประเทศฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสยังเลวร้ายลง รวมทั้งปรับลดสัดส่วนบริษัทกลุ่มการเงินที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจลงด้วยเช่นกัน

“แล้วปรับเพิ่มสัดส่วนลงทุนใน REIT ที่มีรายได้มั่นคงใน ‘สิงคโปร์’ ตลอดจนยังเลือกลงทุนในบริษัทที่มีสถานะทางการเงินและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง รวมทั้งมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในระดับที่โดดเด่น ซึ่งจะมีความสามารถในการฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ได้ดีกว่าอีกด้วย”

โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ยุค ‘New Normal’ เช่น ‘TENCENT’ ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้ง Online Game, Social Media หรือ Mobile Payment ในช่วง ‘วิกฤติ COVID-19’ นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบแล้วยังเติบโตเพราะทั่วโลกมีการใช้ระบบออนไลน์มากขึ้นในทุกๆ ด้าน หรือ ‘SAMSUNG Electronics’ ซึ่งเป็นผู้นำในการทำจอ LCD, LED และ Memory Chip ซึ่ง SAMSUNG มีส่วนแบ่งในตลาด Memory Chip เกินครึ่งหนึ่งของโลก เป็นต้น

“โลกหลัง COVID-19 จะทำให้เทคโนโลยีมีความสำคัญและเร่งตัวมามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ตรงนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับบริษัทที่เกี่ยวข้องอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังจะเห็นได้ว่าหุ้นในพอร์ตกองทุนหลักนั้น มีหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์เช่นนี้อย่างชัดเจน”
 
“จีน”...เศรษฐกิจแข็งแกร่ง- ‘หุ้น A-Share’ โดดเด่นสุด

หากจะโฟกัสมาใน ‘เอเชีย’ เองนั้น ‘จีน’ ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายอันดับต้นๆ ในภูมิภาคนี้เลยก็คงไม่ผิดนัก ไม่เพียงขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐบาลประเทศเข้าสู่ ‘ยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy)’ ที่ทำให้ภาคบริการก้าวมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจจีนต่างจากในอดีตที่พึ่งพิงการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ถือเป็นการ ‘ปรับสมดุล’ ปูทางสู่การเติบโตในระยะยาวของประเทศนั่นเอง

ท่ามกลางแพร่ระบาดของ ‘ไวรัส COVID-19’ ที่ผ่านมา แต่ ‘ตลาดหุ้นจีน’ ช่วง 4 เดือนแรกกลับได้รับผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในโลก โดยปรับลดลง 4.54% โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 5.28% ต่อปี จึงเป็นอีกตลาดที่อยู่ในเรดาห์การลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกเสมอมา (ที่มา: MSCI, Data as of 30 Apr 2020)

“โดยหนึ่งในตลาดหุ้นจีนที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมานั้น คือ ‘A-Share’ หลังจากที่ MSCI มีการเพิ่มน้ำหนักหุ้น ‘A-Share’ ในการคำนวณดัชนีเพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยหนุนให้มีการจัดสรรเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน”

“กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ (PRINCIPAL CHEQ)” เป็นอีกทางเลือกที่จะพาคุณเปิดประตูไปสู่ตลาดหุ้น ‘A-Share’ ได้เป็นอย่างดี ด้วยลักษณะแบบ ‘Fund of Funds’ ที่กระจายลงทุนไปใน 3 กองทุนหลัก ที่มีฝีมือในการบริหารเป็นที่ยอมรับระดับโลก ได้แก่

  • ‘UBS FUND MGMT LUX CHINA A OPPORTUNITY I A1’ มีการบริหารแบบ Active ที่เน้นลงทุนในหุ้น ‘Large Cap’ โดยมี “UBS Asset Management” เป็นผู้บริหารกองทุน
  • ‘ iShares FTSE A50 China Index ETF’ มีการบริหารแบบ Passive เน้นกลุ่มหุ้น ‘Large Cap’ มี “BlackRock iShares” เป็นผู้บริหารกองทุน
  • ‘PRINCIPAL CHINA DIRECT OPPORTUNITIES FUND’ มีการบริหารโดยใช้ Quant Model เน้นกลุ่มหุ้น ‘Mid Cap’ มี “CCB Principal” เป็นผู้บริหารกองทุน

ap

“จึงทำให้ ‘กองทุน PRINCIPAL CHEQ’ สามารถรวมเอาจุดเด่นของหุ้นทุกขนาด (All-Cap) ในตลาด ‘A-Share’ เอาไว้ได้อย่างลงตัว และทำให้มีการกระจายกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย โดยจะโฟกัสไปในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจีนในระยะยาว ซึ่งเน้นที่การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ ตลอดจนหุ้น ‘A-Share’ ซึ่งยังมีโอกาสได้รับอานิสงค์เชิงบวกจากการเพิ่มสัดส่วนในดัชนี MSCI Emerging Market อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีอีกด้วย” 

หุ้นในพอร์ตของกองทุนก็จะเป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘COVID-19’ อีกทั้งยังจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ ‘New Normal’ อีกด้วย เช่น ‘Jiangsu Hengrui’ บริษัทยาอันดับ1 ของจีน มีความชำนาญด้านยาที่รักษามะเร็งและเนื้องอก ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสในครั้งนี้เลย 

หรือ ‘Venustech’ ผู้นำด้าน Network Security ที่คิดค้นเกี่ยวกับระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ เมื่อเทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ระบบป้องกันก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและจะมีความต้องการใช้เติบโตตามปริมาณการใช้เทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน Venustech ถือเป็นผู้นำในเรื่องนี้ลูกค้าไม่ใช่มีแค่เฉพาะในจีน ยังมีบริษัททั่วโลกที่เป็นลูกค้าอีกกว่า 30,000 บริษัท ทั่วโลก เป็นต้น

“หุ้นในพอร์ตอาจจะไม่คุ้นหูนักลงทุนไทยเท่าไรนัก นี่คืออีกเหตุผลที่ต้องใช้ผู้จัดการกองทุนที่มีความชำนาญการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเข้าไปคัดสรรหุ้นดี ที่มีการเติบโตและจะได้ประโยชน์จากโลกหลังยุค COVID-19 ให้กับนักลงทุนแทนนั่นเอง”

อย่าให้ ‘วิกฤติ COVID-19’ มาทำให้การลงทุนของคุณต้องสะดุดหยุดลง แม้ใน ‘ระยะสั้น’ ความผันผวนอาจจะยังคงอยู่ก็ตาม แต่นี่กลับเป็นจังหวะของ ‘โอกาส’ สำหรับการลงทุนระยะยาว ทั้ง ‘กองทุน PRINCIPAL APDI’ และ ‘กองทุน PRINCIPAL CHEQ’ ประตูสู่การลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต ในภูมิภาคและประเทศที่จะเป็น ‘Growth Area’ ของโลกหลังจากนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ ติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือผู้สนับสนุนการขายฯ  หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 www.principal.th ท่านสามารถเปิดบัญชีและทำรายการผ่าน Principal TH Mobile App ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.principal.th/th/principalTH.html

คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน/ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง  และผลการดำเนินงาน ของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่าง ๆ หรือให้ขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ก่อนการตัดสินใจลงทุน/ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต/บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน/กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ /PRINCIPAL APDI กองทุนหลักลงทุนกระจุกตัวในประเทศฮ่องกง ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย/PRINCIPAL CHEQ กองทุนหลักลงทุนกระจุกตัวในประเทศจีน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย