"PRINCIPAL TDIF" & "PRINCIPAL iBALANCED" คู่ดูโอตอบโจทย์ทุก "สภาวะการลงทุน" โดย สรวิศ อิ่มบำรุง, Wealthy Thai

ตอบโจทย์สภาวะการลงทุน Principal TDIF & Principal iBalance

‘กองทุนหุ้นปันผล-กองทุนผสม จัดพอร์ตลงทุน’  

กลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดผันผวน 

ในขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดของ ‘ไวรัส COVID-19’ ทั่วโลกยังคงดูไม่น่าไว้วางใจ โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 5.04 ล้านราย แล้ว มีจำนวนผู้เสียชีวิต 3.26 แสนราย (ที่มา: www.worldometers.info, Data as of 20 May 2020)

แต่ภาพรวมในไทยถือว่าตรงกันข้ามและมีการพัฒนาในเชิงบวก สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี จนกำลังเข้าสู่การปลดล็อกประเทศแล้วในปัจจุบัน 

ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ ‘หุ้นปันผลสูง’ ถือเป็นอีกทางเลือกที่นักลงทุนมักจะนึกถึง ในช่วงตลาดหุ้นไม่เป็นใจ อย่างน้อยก็ยังมีผลตอบแทนกลับมาให้อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

เช่นเดียวกับ ‘กองทุนผสม’ ที่ลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Multi Asset) ที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนได้ในทุกสภาวะตลาดได้เป็นอย่างดี

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในช่วงวิกฤตินี้ ทาง “บลจ.พรินซิเพิล” มี ‘2 กองทุนเด่น’ ที่ตั้งใจคัดสรรมาฝาก ได้แก่ ‘(กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไทย ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL TDIF)’ และ ‘กองทุนเปิดพรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (PRINCIPAL iBALANCED)’ มาเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนกัน

ในทุก ‘วิกฤติ’...ย่อมมี ‘โอกาส’ ในการลงทุนเสมอ

‘วิกฤติ COVID-19’ ครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยให้พร้อมใจกันดำดิ่งทิ้งตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 13 มี.ค. 2020 ซึ่งเป็น ‘จุดต่ำสุด’ ของดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้นั้น ปรับตัวลง 39.27%
    แต่จากจุดต่ำสุดในวันนั้น ถึงปัจจุบัน (20 พ.ค. 2020) ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 36.44% แม้ว่านักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่ก็ตาม (ที่มา : SET, Data as of 20 May 2020)

set

“วิกฤติอาจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกก็เช่นกัน มีคำกล่าวว่า...เราจะรู้ว่าเป็น ‘วิกฤติ’ ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง ในครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่การเลือกตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลายคนตกใจขายหุ้นไปในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังดำดิ่งทิ้งตัวลงอย่างรุนแรง บางคนยังคงถือหุ้นที่ลงทุนอยู่มาถึงปัจจุบัน  บางคนตัดสินใจเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นแดงเดือดเต็มไปด้วยความกลัว มาถึงวันนี้ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันออกไป แต่จะเห็นว่า...ในทุก ‘วิกฤติ’ ย่อมมี ‘โอกาส’ อยู่เสมอ”

test

 หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีความสำคัญในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงนั้น คือ การ ‘ปกป้องการขาดทุนขนาดใหญ่’ เพื่อให้เกิดความเสียหายให้น้อยที่สุดนั่นเอง เรียกว่าในช่วงขาดทุน ขาดทุนให้น้อย แต่ในช่วงที่ทำกำไร ก็สามารถกลับทำกำไรได้ นี่จะทำให้พอร์ตการลงทุนนั้นมีความต้านทานต่อภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนในช่วงวิกฤติเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี 

“อย่าลืมว่าถ้าคุณขาดทุน 50% จะกลับมายืนจุดเดิมได้นั้นต้องทำกำไรให้ได้ถึง 100% เลยทีเดียว แต่ถ้าคุณขาดทุนเพียง 10% กำไรแค่ประมาณ 11.11% ก็จะกลับมาเท่าทุนแล้ว”

ด้วยการออกแบบกองทุนเพื่อตอบโจทย์สภาพตลาดที่ผันผวนอย่างตั้งใจ จึงทำให้ ‘กองทุน PRIN-CIPAL TDIF’ และ ‘กองทุน PRINCIPAL iBALANCED’ สามารถสร้างผลงานดีกว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมในช่วง 4 เดือนแรก โดยมีผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นไทย 1.25% และ 8.16% ตามลำดับ (SET TRI -15.81% , ที่มา : SET and Principal, Data as of 30 Apr 2020) ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาการลงทุนที่อยู่เบื้องหลังทั้ง 2 กองทุนได้เป็นอย่างดี

“หุ้นปันผล”...เลือกที่ ‘กระแสเงินสดแข็งแกร่ง’-อุ่นใจในยามวิกฤติ

ในขณะที่หลายธุรกิจได้รับผลกระทบในเชิงลบจากวิกฤติในครั้งนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายธุรกิจในไทยเองที่ยังคงเติบโตได้ เช่น ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ที่ไม่ได้สะดุดหยุดลงไปแต่ประการใด

“โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน ‘หุ้นปันผลสูง’ 

ถือเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดและยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในทุกภาวะตลาดอีกด้วย เงินปันผลเป็นเสมือนปัจจัยที่ช่วยค้ำราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวลงไปลึกเหมือนหุ้นทั่วไป เพราะเมื่อราคาหุ้นร่วงหล่น ‘อัตราเงินปันผล (Dividend Yield)’ จะปรับตัวสูงขึ้น ดึงดูดให้นักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่สร้างกระแสเงินสดรับที่ดี มองเป็นจังหวะในการกลับเข้ามาลงทุนกัน ถือเป็นหุ้นที่สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจเพราะมีเงินปันผลจ่ายออกมาให้ตลอดช่วงระยะเวลาที่ลงทุนนั่นเอง”

tdif

โดย “กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไทย ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL TDIF)” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ด้วยปรัชญาการบริหารแบบ Active Management เน้นทำ Company Visit ทำบทวิเคราะห์เอง แล้วเลือกหุ้นรายตัวเพื่อลงทุนแบบ Bottom-up ที่สำคัญมีการแบ่งปันข้อมูลและมุมมองระหว่าง Principal ในประเทศต่างๆ ด้วยทำให้มีมุมมองที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น 

ที่สำคัญการให้น้ำหนักการลงทุนไม่คำนึงถึงน้ำหนักของหุ้นในดัชนีอ้างอิง Benchmark Agnostic เปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนสามารถค้นหาและลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพดี แต่ถูกมองข้าม (Hidden Gems) ได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจว่าหุ้นในพอร์ตจะมี ‘Active Share’ คือ สัดส่วนหุ้นที่ไม่เหมือนดัชนีอ้างอิงในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง

“โดย ‘กองทุน PRINCIPAL TDIF’ จะเน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูง แต่ไม่ใช่จะลงทุนทุกตัวที่ปันผลสูงแต่ประการใด แต่ต้องเป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดชัดเจนว่าสามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องในอนาคตด้วย ทำให้พอร์ตมีปันผลเฉลี่ย 4.3% สูงกว่าปันผลเฉลี่ยของตลาดประมาณ 1.0% (ที่มา : Principal, Data as of 31 Mar 2020) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง และดีกว่าคู่แข่งด้วย”

ตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน ได้แก่ ‘บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW)’ เป็นผู้ผลิตน้ำประปารายใหญ่ที่สุดของประเทศ ดูแลพื้นที่สมุทรสาคร, นครปฐม, ปทุมธานีและรังสิต เป็นสาธารณูปโภคที่ต้องใช้แน่ๆ ไม่ว่าในช่วงวิกฤติ COVID-19 หรือช่วงเศรษฐกิจไหนก็ตาม

‘บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH)’ เป็นผู้นำด้านพลังงาน ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ

“จะเห็นได้ว่าหุ้นที่ ‘กองทุน PRINCIPAL TDIF’ เน้นลงทุนนั้นเป็นธุรกิจที่มีกระแสรายได้มั่นคง กระแสเงินสดชัดเจน และน่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้แม้ว่าจะเกิดภาวะวิกฤติ COVID-19 ก็ตาม เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะ Perform ได้ดีในช่วงตลาดผันผวน มีปันผลที่สนุบสนุนอยู่ช่วยชดเชยดอกเบี้ยที่ต่ำด้วย อีกทั้งได้ประโยชน์จากที่ทุกคนต้อง Work from Home ทำให้เกิดการใช้มากขึ้นกองทุนสไตล์นี้จึงตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวได้เป็นอย่างดี”

“5 สินทรัพย์”...ส่วนผสมที่ลงตัว-สร้าง ‘กำไร’ ในระดับ ‘ความเสี่ยง’ ที่เหมาะสม

ธรรมชาติของแต่ละสินทรัพย์ก็จะมี ‘จุดเด่น’ และ ‘จุดด้อย’ ที่แตกต่างกันออกไป มีผลตอบแทนโดดเด่นแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวงจรเศรษฐกิจ เพื่อตอบปัญหาให้กับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เลือกลงทุนไม่ได้ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจังหวะนี้ลงทุนอะไรดี ลงทุนได้ยัง หุ้นจะลงไปอีกมั้ย ฯลฯ 

การลงทุนแบบผสมในหลากหลายสินทรัพย์จึงก้าวเข้ามาเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เป็นทาง ‘สายกลาง’ ก็คงไม่ผิดนัก ทั้งในด้านของ ‘ผลตอบแทน’ และ ‘ความเสี่ยง’

“แต่การกระจายการลงทุนนั้น คงไม่ใช่จะกระจายไปในสินทรัพย์อะไรก็ได้ หากแต่ต้องวางอยู่บนหลักการของสินทรัพย์ที่มี ‘สหสัมพันธ์ (Correlation)’ ต่ำหรือตรงกันข้าม และด้วยส่วนผสมเฉพาะของ ‘บลจ.พรินซิเพิล’ เป็นโมเดลใหม่ที่เน้นการบริหารความเสี่ยงบนขอบเขตสินทรัพย์ที่กว้างขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีการปรับสัดส่วนรายกลุ่มสินทรัพย์ด้วยผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนที่มีประสบการณ์ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงด้วย”

‘กองทุนเปิดพรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (PRINCIPAL iBALANCED)’ สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ 5 กลุ่ม ได้แก่

  • ‘ตราสารหนี้’ เน้นพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ Investment Grade เป็นการลงทุนที่เน้นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง สร้างผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศแต่ประการใด
  • หุ้นไทย’ เป็นสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อสร้างการเติบโตให้กับเงินลงทุนในระยะยาว
  • ทองคำ’  เป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) ได้เป็นอย่างดี และป้องกันความเสี่ยงขาลง ในช่วงวิกฤติก็เป็นสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์เมื่อคนกลัวก็จะหลบเข้ามาที่ทองคำนั่นเอง

    tdif

tdif

  • ‘หุ้นต่างประเทศ’ เป็นสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นไทย เพราะมีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยไม่มี เช่น เทคโนโลยี หรือ Consumer ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังเติบโตได้ในช่วงวิกฤติเช่นนี้อีกด้วย
  • ‘REITs’ เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, REITs, Infrastructure Fund ที่มีผู้เช่าอยู่แล้ว ก็จะได้รายได้จากค่าเช่า เป็นส่วนที่ช่วยเสริมในเรื่องของ ‘รายได้ประจำ’ นอกเหนือจาก ‘ดอกเบี้ย’ จากการลงทุนในตราสารหนี้ด้วย 

ในขณะเดียวกันในด้านของราคาของสินทรัพย์กลุ่มนี้ก็จะผันผวนน้อยกว่าหุ้นเมื่อมาผสมกันในพอร์ตก็ทำให้พอร์ตผันผวนน้อยลงด้วย เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว

“ประโยชน์ที่ได้จากการผสมพอร์ตของ ‘กองทุน PRINCIPAL iBALANCED’ คือช่วยลดความผันผวน มี Maximum Drawdown ผลตอบแทนติดลบในช่วงตลาดผันผวนค่อนข้างน้อย ในปี2015 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมากทั่วโลก ในเอเชีย -25.4% ไทย -19.4% แต่ ‘กองทุน PRINCIPAL iBALANCED’ -3.7% เท่านั้น”

ในช่วง ‘วิกฤติ COVID-19’ ก็พิสูจน์อีกครั้ง เพราะเราตั้งใจออกแบบให้ ‘กองทุน PRINCIPAL iBALANCED’ มีความผันผวนน้อยกว่า จากการผสม 5 กลุ่มสินทรัพย์เข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม ทำให้พอร์ตผันผวนน้อยแม้ว่าหุ้นจะปรับตัวลงแรงก็ตาม

อย่าให้ ‘วิกฤติ COVID-19’ ต้องทำให้การลงทุนของคุณต้องหยุดชะงัก เว้นวรรค ขาดช่วงไป อย่าลืมว่าใน ‘ทุกวิกฤติ’ ย่อมมี ‘โอกาส’ อยู่เสมอ ด้วยคู่ดูโอ ‘PRINCIPAL TDIF’ และ ‘กองทุน PRINCIPAL iBALANCED’ นี้ จะนำคุณสู่การลงทุนใน ‘หุ้นปันผล’ และ ‘กองผสมหลายสินทรัพย์’ ที่ตอบโจทย์ในทุกสภาวะการลงทุนได้เป็นอย่างดี

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ ติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือผู้สนับสนุนการขายฯ  หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 www.principal.th ท่านสามารถเปิดบัญชีและทำรายการผ่าน Principal TH Mobile App ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.principal.th/th/principalTH.html

คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า(กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน/ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง  และผลการดำเนินงาน ของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่าง ๆ หรือให้ขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ก่อนการตัดสินใจลงทุน/ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedg-ing) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนควรศึกษาผลการดำเนินงานของหน่วยลงทุนแต่ละชนิดของกองทุนใน https://www.principal.th/th/mutual-fundth ก่อนตัดสินใจลงทุน/ โปรดศึกษารายละเอียดเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลโครงการ