ถึงเวลาคุมเงินให้อยู่หมัด! 3 วิธีจัดการงบประมาณง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้
Image
การจัดการเงินที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นด้วยการจัดทำงบประมาณที่ดี แต่ไม่มีวิธีใดที่เหมาะกับทุกคน การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความมุ่งมั่นของคุณ ความง่ายในการใช้งาน และข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี ลองพิจารณา 3 วิธีการจัดทำงบประมาณยอดนิยมเพื่อหาสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด
1. งบประมาณ 50/30/20
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความยืดหยุ่น
งบประมาณ 50/30/20 เป็นวิธีที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ที่คาดการณ์ได้และต้องการเริ่มต้นจัดทำงบประมาณโดยไม่รู้สึกยุ่งยากเกินไป วิธีนี้แบ่งรายได้สุทธิ (หลังหักภาษี) ออกเป็นสามส่วนหลัก
50% สำหรับสิ่งจำเป็น ครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าที่อยู่อาศัย (ผ่อนบ้าน/เช่า) ค่าสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟฟ้า) ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าประกัน และการชำระหนี้ขั้นต่ำที่จำเป็น
30% สำหรับการใช้จ่ายส่วนตัว จัดสรรไว้สำหรับความต้องการและสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ค่าอาหารนอกบ้าน ความบันเทิง งานอดิเรก เสื้อผ้า และการเดินทางท่องเที่ยว
20% สำหรับการออมและการชำระหนี้ ส่วนนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ การออมฉุกเฉิน การลงทุน หรือการชำระหนี้เพิ่มเติมเพื่อลดภาระหนี้สิน
ข้อดี เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้ทันที มีความยืดหยุ่นสูง ไม่จำเป็นต้องติดตามค่าใช้จ่ายยิบย่อยมากนัก
ข้อเสีย อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด หรือมีหนี้สินจำนวนมากที่ต้องการจัดการอย่างเร่งด่วน
2. ระบบซองจดหมาย
การควบคุมการใช้จ่ายด้วยเงินสดหรือดิจิทัล
ตามปกติแล้ว การจัดงบประมาณแบบซองจดหมายหมายถึงการแบ่งเงินสดออกเป็นซองจดหมายที่มีป้ายกำกับไว้ คุณยังสามารถทำเช่นนั้นได้โดยใช้แอปควบคุมงบประมาณและบัญชีแยกเพื่อแสดงภาพการใช้จ่ายของคุณในลักษณะเดียวกัน
วิธีการ:
1. กำหนดหมวดหมู่: ระบุหมวดหมู่การใช้จ่ายที่คุณต้องการควบคุม เช่น ค่าอาหาร, ค่าบันเทิง, ค่าน้ำมัน, ค่าเสื้อผ้า
2. จัดสรรเงิน: เมื่อได้รับรายได้ ให้จัดสรรเงินสดจำนวนหนึ่ง (หรือโอนไปยังบัญชีแยก) สำหรับแต่ละหมวดหมู่
3. ใช้จ่ายตามงบ: เมื่อคุณต้องการใช้จ่ายในหมวดหมู่ใด ให้ใช้เงินจากซองนั้นเท่านั้น
4. หยุดเมื่อเงินหมด: หากเงินในซองหมดลง คุณจะไม่สามารถใช้จ่ายในหมวดหมู่นั้นได้อีกจนกว่าจะถึงรอบงบประมาณถัดไป
ข้อดี ช่วยให้เห็นขอบเขตการใช้จ่ายแต่ละหมวดหมู่ได้อย่างชัดเจน ป้องกันการใช้จ่ายเกินตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหนี้บัตรเครดิต
ข้อเสีย ต้องใช้เวลาในการตั้งค่าและติดตามอย่างสม่ำเสมอ อาจไม่สะดวกสำหรับทุกการใช้จ่าย โดยเฉพาะในยุคสังคมไร้เงินสด
3. งบประมาณแบบศูนย์
ควบคุมทุกบาททุกสตางค์อย่างละเอียด
งบประมาณแบบศูนย์ (Zero-Based Budgeting) เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก และมุ่งมั่นที่จะควบคุมการเงินของตนเองอย่างเต็มที่ วิธีนี้กำหนดให้คุณต้องจัดสรรทุกบาททุกสตางค์ของรายได้ของคุณให้กับค่าใช้จ่าย การออม หรือการชำระหนี้ จนกระทั่ง "รายได้ลบค่าใช้จ่ายเท่ากับศูนย์" ไม่มีเงินเหลือทิ้งไว้โดยไม่มีวัตถุประสงค์
วิธีการ:
1. บันทึกรายได้: บันทึกรายได้ทั้งหมดที่คุณคาดว่าจะได้รับในแต่ละเดือน
2. กำหนดค่าใช้จ่าย: กำหนดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณ รวมถึงสิ่งจำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็น การออม และการชำระหนี้ ให้กับทุกบาททุกสตางค์ของรายได้
3. ปรับสมดุล: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายได้ทั้งหมดลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีค่าเท่ากับศูนย์ หากมีเงินเหลือ คุณจะต้องจัดสรรให้กับการออมหรือเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ หากเงินไม่พอ คุณจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในหมวดหมู่ที่ไม่จำเป็นลง
ข้อดี มีการติดตามทางการเงินที่ละเอียดที่สุด บังคับให้คุณตัดสินใจอย่างตั้งใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายแต่ละครั้ง ช่วยให้เห็นว่าเงินของคุณไปอยู่ที่ไหนอย่างชัดเจน
ข้อเสีย ใช้เวลานานและต้องใช้ความมุ่งมั่นสูง อาจรู้สึกอึดอัดสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่คุ้นเคยกับการจัดการการเงินอย่างละเอียด
บทสรุป
การเลือกวิธีการจัดทำงบประมาณที่เหมาะสมอาจต้องใช้การลองผิดลองถูก บางคนอาจเริ่มจากงบประมาณ 50/30/20 และปรับไปใช้วิธีที่ละเอียดขึ้นเมื่อคุ้นเคยมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด การจัดทำงบประมาณจะช่วยให้คุณมีความรับรู้ทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งมีค่าพอๆ กับเงินที่คุณสามารถประหยัดได้ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและแหล่งที่มาของบทความนี้ คุณสามารถดูได้ที่:
Popular Budgeting Methods to Improve Your Money Management โดย Principal®
ติดตามข่าวสาร และข้อมูลเพิ่มเติมจาก บลจ.พรินซิเพิล ได้ทุกช่องทาง
Facebook: https://www.facebook.com/principalthailand
YouTube: https://www.youtube.com/PrincipalThailand
LINE: @PrincipalThailand
Website: https://www.principal.th/
