CIO View: เดือนกรกฏาคม 2568
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา หัวข้อข่าวส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นข้อตกลงทางการค้าและภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งนอกเหนือจากการติดตามรายงานข่าวจากสำนักข่าวหลักต่างๆ ที่ติดตามประเด็นนี้อย่างต่อเนื่องแล้ว เราอยากเชิญชวนให้นักลงทุนทุกท่านเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ https://www.principalam.com ซึ่งมีบทวิเคราะห์เชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศของเราเกี่ยวกับประเด็นการค้าและภาษี รวมถึงประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากข่าวรายวัน
ด้านพัฒนาการของนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยนายเจอโรม พาวเวลได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของ Fed ที่ต้องการให้อัตราการจ้างงานอยู่ในระดับสูงสุด และอัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% นอกจากนี้ยังได้กล่าวว่าการขึ้นกำแพงภาษีศุลกากรนั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่ง Fed กำลังจับตาดูสัญญาณของภาวะเงินเฟ้อที่ตึงตัวอย่างใกล้ชิด นายเจอโรมยังได้ย้ำเตือนถึงผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนกำหนดว่าอาจกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นอีก อย่างไรก็ดี Fed จะติดตามตัวเลขการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อที่จะประกาศออกมาในเดือนกันยายนก่อนการประชุมครั้งต่อหน้าเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินนโยบายต่อไป ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการประชุมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1993 ที่มีผู้ว่าการ Fed สองรายที่ไม่เห็นด้วยกับการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ สะท้อนสัญญาณความไม่ลงรอยกันภายในเรื่องแนวโน้มการดำเนินนโยบาย ด้าน CME FedWatch Tool ชี้ว่าตลาดคาดการณ์ว่า Fed มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 43% (จากเดิมที่เคยชี้ว่ามีโอกาส 63%) และคาดการณ์มีโอกาสที่จะคงอัตราดอกเบี้ย 57% (จากเดิมที่ชี้ว่ามีโอกาส 35%) และเมื่อพิจารณาจนถึงสิ้นปี ตลาดคาดว่า Fed มีโอกาส 40% ที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง มาอยู่ที่ระดับ 4.00% - 4.25% จากเดิมที่เคยคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 37% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งมาอยู่ที่ระดับ 3.75% ถึง 4.00%
ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.0% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระดับสูง โดยตลอดปีนี้ ECB ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา จากระดับ 3.0% ในเดือนมกราคม เหลือ 2.0% ในเดือนมิถุนายน ในการแถลงข่าวภายหลังการประชุม ประธาน ECB คุณ Christine Lagarde ระบุว่าเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกมีผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้ โดยเป็นผลมาจากการส่งออกล่วงหน้าก่อนการปรับขึ้นภาษี การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง รายได้จริงที่เพิ่มขึ้น และเงื่อนไขทางการเงินที่ผ่อนคลาย ในขณะที่ทางด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ระยะเวลา 1 ปีไว้ที่ 3.0% และอัตราดอกเบี้ย LPR ระยะเวลา 5 ปี ไว้ที่ 3.5% หลังจากที่มีการประกาศว่า GDP ของจีนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 5.1% และตลอดครึ่งแรกของปี 2025 เศรษฐกิจจีนเติบโต 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้จีนยังคงมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมาย GDP ทั้งปีที่ระดับประมาณ 5% โดยการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 2 ส่วนใหญ่ได้รับแรงสนับสนุนจากการเร่งส่งออกก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม
ทางฝั่งของญี่ปุ่นสถานการณ์การเมืองในประเทศกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจมีการเลือกตั้งใหม่อย่างกะทันหัน ท่ามกลางข้อกังขาเกี่ยวกับเสถียรภาพในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายชิเงรุ อิชิบะ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาในการเลือกตั้งสภาสูงของญี่ปุ่นพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และ และพรรคโคเมอิโตะซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลสามารถคว้าที่นั่งได้เพียง 47 ที่นั่งจากทั้งหมด 125 ที่นั่ง ส่งผลให้เมื่อรวมกับที่นั่งที่ไม่ได้มีการเลือกตั้งจะเป็น 122 ที่นั่งในสภาสูง ซึ่งต่ำกว่า 125 ที่นั่งที่จำเป็นเพื่อรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภา การสูญเสียที่นั่งในครั้งนี้ส่งผลให้ความไม่มั่นคงทางการเมืองของญี่ปุ่นทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลได้สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเช่นกันตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคในปี 1955 ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ LDP สูญเสียเสียงข้างมากทั้งสองสภา
ด้านพัฒนาการทางการเมืองของไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ให้พักการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หลังจากเผชิญแรงกดดันให้ลาออกอย่างหนักจากกรณีบทสนทนาทางโทรศัพท์กับอดีตผู้นำกัมพูชา ฮุน เซนที่รั่วไหลออกมา โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นภายหลังศาลรับคำร้องจากสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 ราย โดยนางแพทองธารได้รับกำหนดเวลา 15 วันในการยื่นคำชี้แจงพร้อมหลักฐานต่อศาล ซึ่งภายหลังได้ยื่นขอขยายเวลาเพิ่มเติม ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แพทองธารยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากการปรับคณะรัฐมนตรีก่อนคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่จะมีผลเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ด้านทิศทางนโยบายการเงินของไทย คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร ประธานกรรมการและผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้นายวิทัยจะเข้ารับตำแหน่งแทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งจะครบวาระในวันที่ 30 กันยายน และจะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคม เมื่ออ้างอิงถึงในวันนำเสนอมุมมองต่อคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน นายวิทัยได้นำเสนอแนวคิด "Policy Coordination" หรือการประสานนโยบาย ซึ่งมุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างธนาคารกลาง กระทรวงการคลัง หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ สังคมผู้สูงอายุ หนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ และการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ นายวิทัยยังให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นหลังยื่นสมัครตำแหน่งผู้ว่า ธปท. เมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรถูกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าธนาคารพาณิชย์ควรส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยที่ถูกปรับลดลงไปยังภาคครัวเรือนและธุรกิจอย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่งของไทย ความตึงเครียดทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนโดยเฉพาะอำเภออรัญประเทศ อำเภอตาพระยา และอำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ลดลงอย่างชัดเจน พร้อมกับมีการยกเลิกการจองที่พักในวงกว้าง นอกจากนี้หลายประเทศไม่ว่าเป็นสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และฮ่องกง ยังได้ออกประกาศเตือนหรือคำแนะนำในการเดินทางมายังพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณจุดพิพาทใกล้แหล่งโบราณสถานสำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และเขาพระวิหาร ท่ามกลางความไม่แน่นอนดังกล่าวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังคงเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 ไว้ที่ 35.5 ล้านคน เท่ากับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 16.68 ล้านคน ลดลง 4.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าไทยอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เรามองว่าผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการส่งออกในช่วงปลายปี และจุดยืนในนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ล้วนสร้างแรงกดดันต่อมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายปลายทาง (terminal rate) จากที่เราคาดไว้เดิมที่ 1.25% ซึ่งเราจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นในสถานการณ์ดังกล่าว
จากสภาพแวดล้อมของตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในปัจจุบัน นักลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนที่รุนแรง ข่าวสารที่ขัดแย้งกัน และข้อมูลจำนวนมากที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนส่งผลให้การตัดสินใจลงทุนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยแรงกดดัน ความผันผวนในตลาดไม่ใช่เพียงประเด็นที่ถูกกล่าวถึงกันทั่วไป แต่เป็นความจริงที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน สภาวะอารมณ์ และเป้าหมายทางการเงินระยะยาวของนักลงทุนอย่างชัดเจน ดังนั้นการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ โดยอาศัยการผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุน ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น กระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีศักยภาพในการรับมือกับความผันผวนของตลาดในระยะยาว เรามองว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ Multi-Asset ช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาวินัยในการลงทุน อยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง และมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำ กองทุน Multi assets เป็นพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) โดยแนะนำกองทุนเปิดพรินซิเพิล มัลติ แอสเซท บาลานซ์ (PRINCIPAL MABALANCED) สำหรับนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากมีการจัดสรรการลงทุนระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้อย่างสมดุล สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำลงมา หรือต้องการเพิ่มสัดส่วนของตราสารหนี้ แนะนำกองทุนเปิดพรินซิเพิล มัลติ แอสเซท อินคัม (PRINCIPAL MAINCOME) ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงหรือสนใจธีมการลงทุนที่เติบโตสูง แนะนำกองทุนเปิดพรินซิเพิล มัลติแอสเซ็ทโกลบอล (PRINCIPAL MAGLOBAL) ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเสริมพอร์ตการลงทุนหลักด้วยกองทุนตราสารหนี้ระดับโลก เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนมากขึ้น หรือเพิ่มการลงทุนไปทางกลุ่ม Thematic Growth เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ดีได้ สำหรับพอร์ตที่ต้องการความมั่นคง มีความ Defensive มากขึ้น
ท้ายที่สุดนี้ เราขอปิดบทความประจำเดือนด้วยมุมมองที่น่าสนใจจากคุณ Seema Shah - Chief Global Strategist ของ Principal Asset Management ซึ่งได้เขียนบทความชื่อ “Mid-year Perspective 2025: Cutting through the noise” เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยบทความนี้ได้สรุปมุมมองสำคัญ 10 ประการเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและตลาดที่เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ท่ามกลางความผันผวนที่ยังคงดำเนินอยู่ในตลาดโลก หากท่านใดสนใจสามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์:
https://www.principalam.com/us/insights/macro-views/mid-year-perspectiv…
โดยในช่วงท้ายของบทความ ของคุณ Seema Shah ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า:
“ครึ่งปีแรกของปี 2025 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างแท้จริง บางสมมติฐานที่เคยเชื่อถูกตั้งคำถาม และเราได้เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเพียงใด แม้ว่าทิศทางในระยะข้างหน้ายังคงถูกบดบังด้วยนโยบายที่ยังไม่มีความชัดเจน แต่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การเติบโตที่ชะลอตัว เงินเฟ้อที่ยังยืดเยื้อ และความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น ก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น”
ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลัง คุณ Seema แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตให้เน้น “ความยืดหยุ่น” และ “การคัดเลือกสินทรัพย์อย่างมีคุณภาพ” โดยมีคำแนะนำดังนี้:
•พิจารณาลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงและมีอายุสั้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ต พร้อมรับกระแสรายได้สม่ำเสมอ
•เลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา มีกำไรที่แข็งแกร่ง และมีงบดุลที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ หรือได้รับผลกระทบน้อยจาก ความขัดแย้งทางการค้า
•กระจายการลงทุนในระดับโลก เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และเปิดโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศนอกสหรัฐฯที่มีศักยภาพในการเติบโต
•เน้นกลยุทธ์การบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก (Active Management) เพื่อมองหาโอกาสจากการหมุนเวียนของกลุ่มอุตสาหกรรม (sector rotation) และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ความไม่แน่นอนสูงขึ้นและพฤติกรรมของตลาดมีลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้น
“แม้ภาวะตลาดจะยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ก็ยังมีแนวทางในการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสจากความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับอุตสาหกรรม ภูมิภาค หรือสินทรัพย์ การ “ตัดเสียงรบกวน” จึงเป็นสิ่งสำคัญในภาวะแบบนี้ ซึ่งหมายถึงการยึดมั่นอยู่บนข้อมูลที่ชัดเจน มีความพร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลง และสามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
Disclaimer: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / PRINCIPAL MAGLOBAL ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / การลงทุนในหน่วยลงทุน มิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรลงทุนในกองทุนนี้เมื่อเห็นว่าการลงทุนในกองทุนรวมนี้ เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของผู้ลงทุน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากการลงทุนได้ / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้/ บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต