CIO View: พฤศจิกายน 2567
ในเดือน พ.ย. ตลาดตราสารทุน และตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรคริพับริกันสามารถคว้าชัยชนะครั้งนี้ได้ แบบ Red Sweep ซึ่งหมายถึงการครองเสียงข้างมากได้ทั้งในสภาบน (ส.ว.) และสภาล่าง (ส.ส.) ส่งผลให้นโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน หรือการลดภาษีนิติบุคคลจะสามารถถูกบังคับใช้ได้ง่ายขึ้น ผลที่ตามมาคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัย เนื่องจากนโยบายส่วนใหญ่ของโดนัลด์ ทรัมป์ เอื้อต่อการเติบโตของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นหลัก ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นจีน จากการถูกกดดันจากนโยบายขึ้นกำแพงภาษี โดยล่าสุดท่าทีการใช้นโยบายนี้เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเตรียมเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก-แคนาดาเพิ่มขึ้น 25% และจากจีนเพิ่มขึ้น 10% ตั้งแต่ในวันที่ 20 ม.ค. 2568 ซึ่งจะเป็นวันแรกที่เขาจะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 2 ปีปรับเพิ่มขึ้นได้หลังวันเลือกตั้ง เนื่องจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะหนุนเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำได้ลำบากมากขึ้น โดยในช่วงต้นเดือนพ.ย. เฟดลดดอกเบี้ยตามคาดที่ 0.25% ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์กล่าวชัดเจนว่าเฟด ยังไม่นำนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์มาพิจารณาต่อการตัดสินใจทิศทางของดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามตลาดเริ่มสะท้อนมุมมองที่แตกต่างจากเฟด โดยตลาดมีการลดการคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าลงอย่างเห็นได้ชัดจากระดับ 0.75%-1.00% ก่อนการเลือกตั้ง สู่ 0.25% – 0.50% โดยเรามองว่าการประชุม Fed วันที่ 17 – 18 ธ.ค. นี้จะมีการประกาศ Dot Plot ซึ่ง จะเป็นสิ่งสะท้อนมุมมองทิศทางดอกเบี้ยของเฟดหลังการเลือกตั้งได้ดีที่สุด
ในช่วงท้ายปีนี้เรามองว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถทยอยปรับขึ้นต่อได้ หนุนโดยนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง และจากสถิติเชิงฤดูกาลย้อนหลัง โดยตลาดชื่นชอบนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากจะส่งผลบวกได้กับตลาดหุ้นโดยตรงตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจเสนอชื่อนายสก็อตต์ เบสเซนต์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งถือได้ว่าเป็นตำแหน่งมีบทบาทสูงที่สุดในด้านการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงินการลงทุน เนื่องจากมีอำนาจในการตัดสินหลายด้าน เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณของประเทศ และการจัดเก็บภาษีต่อประเทศคู่ค้า โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์มีชื่อเสียงด้านการเงินการลงทุนมาอย่างยาวนาน ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังของสหรัฐฯ ตลาดจึงคาดหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่จะดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์กับตลาดตราสารทุน และช่วยลดความรุนแรงต่อการขึ้นภาษีต่อประเทศคู่ค้าได้ ในขณะเดียวกัน ตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยดัชนี Citi Economic Surprise ที่เป็นบวกและอยู่ในระดับสูง แสดงให้ถึงว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และสุดท้ายจากสถิติย้อนหลัง โดยผลตอบแทนของดัชนี S&P500 ในช่วง 30 ปีย้อนหลัง ในเดือน ธ.ค. เดือนเดียวให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 0.93% และมีเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น จากใน 30 ปีที่ผ่านมาที่ดัชนีให้ผลตอบแทนติดลบ เราจึงคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะยังมีผลงานที่ดีในเดือน ธ.ค. นี้
โดยเรายังเน้นย้ำให้นักลงทุนเตรียมพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมสำหรับปี 2025 และเพื่อลดหย่อนภาษีในโอกาสโค้งสุดท้ายของปี 2024 นี้ โดยทาง บลจ.พรินซิเพิล เฟ้นหากองทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการลงทุนเสริมพอร์ตให้เหมาะสมและยังสามารถลดหย่อนภาษีไปได้พร้อมกัน โดยแนะนำกองทุนดังต่อไปนี้
1.PRINCIPAL GOPP-SSF: มีกองทุนหลักคือ Morgan Stanley Global Opportunity กองทุนบริหารโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญจาก Morgan Stanley และยึดปรัชญาการลงทุนที่ใช้มาตั้งแต่จัดตั้งกองทุนคือ เฟ้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ (15 – 20% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า) และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว บริษัทที่มีคุณลักษณะดังกล่าวจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และปรับตัวได้จากสภาวะที่มีความเสี่ยงในด้านปัจจัยมหภาคต่าง ๆ ได้ ในส่วนของวิธีการลงทุนยังคงยึดตามแบบ Bottom up ด้วยมุมมองระยะยาว 5 – 10 ปี มี Active Share (น้ำหนักหุ้นที่แตกต่างจากดัชนีเทียบเคียง) สูงที่ 90.91% มีการเติบโตของรายได้โดยเฉลี่ยในอีก 3 ปีข้างหน้า 13.19% ซึ่งสูงกว่าดัชนีเทียบเคียงที่ 6.01% ปัจจุบันถือหุ้นทั้งหมด 36 บริษัท กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น Uber Technologies Inc ผู้ผลิต Application เรียกรถแท็กซี่ สั่งอาหาร ส่งพัสดุยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ครอบครอง market share ถึง 37% ในสหรัฐฯ และกำลังขยายธุรกิจในประเทศที่ตลาดยังเปิดกว้าง (low penetration rate) เช่น Brazil หรือ Mexico หรือ Meta เจ้าของ Application ชื่อดังอย่าง Facebook, Messenger, Instagram และ WhatsApp ที่มีผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก กองทุนมีผลตอบแทนย้อนหลังในช่วงเวลา 10 ปีที่ 14.46% ต่อปี (Source: Morgan Stanley as of 31 October 2024)
2.PRINCIPAL VNEQRMF: เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม บริษัทที่มีขนาดใหญ่ คุณภาพดี มีธรรมาภิบาลสูง สามารถเกาะกระแสไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามได้ในระยะยาว โดยในเดือน พ.ย. ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ปรับฐานแตะที่ 1,200 จุด เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และความกดดันจากโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะใช้นโยบายทางด้านภาษี ส่งผลให้มูลค่า (Forward P/E) ลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจมากต่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct investment: FDI) 10 เดือนแรกโต 8.8% YoY และมีมูลค่ากว่า 19.58 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ การส่งออกเดือน ต.ค. โต 10.1% YoY และดัชนีผู้จัดการฝ่ายผลิต (Manufacturing PMI) เดือน ต.ค. แสดงถึงการขยายตัวที่ 51.2 จุด อีกทั้งในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ย. ทางผู้จัดการกองทุนได้ลดสัดส่วนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเพื่อเตรียมรับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และเตรียมเงินสดสำหรับซื้อหุ้นที่พื้นฐานดี มูลค่าน่าสนใจเพิ่มเติมในช่วงตลาดปรับฐาน โดยทีมผู้จัดการกองทุนเน้นลงทุนคุณภาพดี งบการเงินแข็งแกร่ง เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต เช่น กลุ่มการเงิน (Financials) โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูง เช่น Joint Stock Commercial Bank for Foreign Trade of Vietnam (VCB) และ Vietnam Prosperity Bank (VPB) หรือ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) เช่น Vietnam Dairy Products (VNM)
3.PRINCIPAL iPROPEN-SSF, PRINCIPAL iPROPRMF: ทั้งสองกองทุนเน้นลงทุนใน REITs คุณภาพดี มีความสามารถในการปรับขึ้นค่าเช่า และมีงบดุล (Balance Sheet) ที่แข็งแกร่ง เรากำลังอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ REITs มีผลงานที่ดีในอนาคต และ REITs เป็นสินทรัพย์ที่มีรายได้สม่ำเสมอในฐานะค่าเช่า ทำให้ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจต่ำ และเหมาะสมที่จะเพิ่มในพอร์ตการลงทุนระยะยาว เพื่อการกระจายความเสี่ยง โดย PRINCIPAL iPROPEN-SSF มีการกระจายลงทุน REITs ในเอเชีย เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไทย Overweight กลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) และ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต และ PRINCIPAL iPROPRMF เน้นลงทุนใน REITs ไทย และสิงคโปร์เป็นหลัก ซึ่งมีมูลค่าที่ถูกเมื่อเทียบกับ REITs ฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว ปัจจุบัน Overweight กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระจายความเสี่ยงเช่นกัน
4.PRINCIPAL EQESG-ThaiESG: กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และลงทุนสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งวงเงินของกองทุน Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนประหยัดภาษีประเภทอื่น ๆ เช่น กองทุน SSF และ RMF โดยนักลงทุนจะต้องถือ 5 ปีขึ้นไปนับจากวันที่ซื้อ โดยกองทุน PRINCIPAL EQESG-ThaiESG เน้นลงทุนหุ้นไทยที่มี ESG สูง ทางทีมผู้จัดการกองทุนมีระบบการลงทุนและขั้นตอนการประเมินด้าน ESG อย่างบูรณาการและเป็นระบบ และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการลงทุนกับผู้จัดการกองทุนจากหลายภูมิภาคทั่วโลกภายในกลุ่มบริษัทเครือ Principal เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ และทีมผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนนี้ เป็นทีมเดียวกับที่บริหาร PRINCIPAL DEF และ PRINCIPAL EQRMF ซึ่งได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปีจากงาน Money & Banking Award 2024
Disclaimer: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน /PRINCIPAL GOPP-SSF กองทุนหลักลงทุนกระจุกตัวในอเมริกาเหนือ ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / PRINCIPAL VNEQRMF ลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / PRINCIPAL iPROPRMF ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector Fund) ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก / PRINCIPAL iPROPEN-SSF ลงทุนกระจุกตัวในประเทศแถบเอเชีย ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย /บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging)ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนโปรดศึกษาเงื่อนไขการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม หรือหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (SSF) ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 357 (พ.ศ 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 10 มีนาคม 2563 โดยเป็นไปตามเกณฑ์กรมสรรพากรกำหนด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในคู่มือการลงทุน/หนังสือชี้ชวน/หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ให้เข้าใจและควรเก็บไว้เป็นข้อมูล เพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต และเมื่อมีข้อสงสัยให้สอบถามผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนให้เข้าใจก่อนซื้อหน่วยลงทุน /ผู้ลงทุนไม่สามารถนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออมไปจำหน่าย จ่าย โอน จำนำ หรือนำไปเป็นประกัน / การลงทุนในกองทุนเพื่อการออมผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนครบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นอาจส่งผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องชำระคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ผู้ลงทุนมีหน้าที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎหมายภาษีอากร / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต